เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o ก.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเป็นชาวพุทธนะ เรามาหาบุญกุศลกัน อุตส่าห์เดินทางไกลเห็นไหม เราบากบั่นมาทำบุญกุศลเพื่ออะไร.. ก็เพื่อเรา เราอยู่กับความเป็นจริงนะ โลกแห่งความเป็นจริง

ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ หนาวก็รู้ว่าหนาว ร้อนก็รู้ว่าร้อน สุขหรือทุกข์มันรู้ไปหมด มันเป็นความจริงอันหนึ่ง มันเป็นความจริงเลยล่ะ สุขหรือทุกข์ ดีหรือชั่ว เป็นความจริงทั้งนั้น เราต้องอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งนี้มันจริงทั้งหมด แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ถ้าสัจธรรม ปรมัตถธรรม ใช่ ! ที่ว่าเป็นสมมุติ.. สมมุติ.. มันจริงตามสมมุตินะ

ทุกข์ไหม.. ทุกข์ทั้งนั้น เราต้องยอมรับความจริงอันนี้ก่อน ถ้าเราไม่ยอมรับความจริง เราปฏิเสธมัน ที่ปฏิบัติพลาดๆ ก็ตรงนี้ไง คือเริ่มต้นจะปฏิเสธเลยไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์มันสักแต่ว่า ถ้าสักแต่ว่า ทำไมพ่อแม่บอกว่าลูกไม่ทุกข์ แต่ลูกมันร้องไห้อยู่อย่างนั้น แล้วพอเวลาพ่อแม่เจ็บไข้ได้ป่วยเห็นไหม พ่อแม่ไม่เจ็บไม่ปวด ทำไมมันเจ็บมันปวดล่ะ มันจริงตามสมมุติ

มันจริง จริงๆ นะ ชีวิตนี้ทุกข์ๆ ตามความเป็นจริง แต่ ! แต่มันเป็นสัจธรรมของปรมัตถธรรม แต่ถ้ามันเป็นสมมุติ จริงตามสมมุติเห็นไหม ชีวิตมนุษย์นี้เป็นอริยทรัพย์ การเกิดมาเป็นอริยทรัพย์ เพราะมันปฏิเสธไม่ได้

การเวียนตายเวียนเกิด จิตนี้มันปฏิเสธไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติของมัน มันเป็นสสารทั่วไป เป็นสสารวัตถุที่ไม่มีชีวิต ธาตุรู้สำคัญที่สุดเลย ธาตุ ! สสารที่มีชีวิตที่มันสืบต่อ ความรู้สึกอันนี้แล้วมันไม่เคยตาย สิ่งนี้สำคัญมาก !

เวลาเราภาวนาไปเห็นไหม ชีวิตนี้มาจากไหน จิตนี้มันมาจากไหน สาวไปเถอะ สาวไปไม่มีวันจบหรอก จนพระพุทธเจ้าบอกว่า “เวลาบุพเพนิวาสานุสติญาณ เวลาสาวไปไม่มีต้นไม่มีปลาย” คิดดูสิ คำว่าไม่มีต้นไม่มีปลาย มันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ตลอดไปนะ แต่เพราะธรรมะไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าใช้ในมรรคญาณ ในอริยสัจ มันจะทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้

นี้ให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดูสิ เรามองย้อนกลับไปที่โลกนะ คนที่สนใจธรรมะมีขนาดไหน ยิ่งคนมีศีลธรรมจริยธรรมเขาว่าเป็นคนโง่ คนไม่ทันคน ทำธุรกิจถ้ามันมัวแต่ไปถือศีลอยู่มันจะไปทำได้อย่างไร

ทำไมเราบอกว่าในเศรษฐศาสตร์.. ทางพุทธศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ทางศีลธรรมจริยธรรม เราต้องการมีความยั่งยืนนะ เพราะอะไร เพราะว่าโลกนี้เป็นสมมุติ สมมุติว่ามันเกิดในถิ่นต่างๆ กันไป ดูสิ ดูอย่างทิเบต ดูอย่างเนปาล ดูอย่างประเทศที่อยู่ในภูเขาหิมาลัย เห็นไหม เขาอยู่กันมาสองสามพันปี ทางยุโรปยังไม่มีเลย ยุโรปไม่มีหรอก ความเจริญเอเชียเราเจริญมาก่อนเขามากมายเลย แต่เวลาด้วยของเทคโนโลยี เห็นไหม เขากระโดดข้ามไปเลย พอกระโดดข้ามไปเลย เราก็ไปตื่นเต้นกับเขา

ดูสิ ดูตอนนี้สิ เศรษฐกิจมีปัญหาแล้ว ถ้าเศรษฐกิจมีปัญหามันสะเทือนกันไปหมด แล้วเวลาของเรามีปัญหาขึ้นมา เขาเข้ามาควบคุม ทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ ต้องมีศีลธรรมจริยธรรม เวลาของเขานะเขาเข้าไปอุ้มกันเหมือนกัน นี่ไงสมมุติทั้งนั้น ถ้ามันสมมุติทั้งนั้น มันเป็นเรื่องว่าใครเสียงดังกว่า

สิ่งที่เป็นโลกเห็นไหม ความสมมุติจากข้างนอก สิ่งที่เป็นความสมมุติจากข้างนอกนะ เราเกิดมามันต้องแบ่งแยกให้ถูก มันต้องยอมรับความจริง ความเกิดนี้เป็นเรื่องจริง ชีวิตนี้เป็นความจริงทั้งหมด

แล้วบอกว่าสมมุติ.. สมมุติ.. สมมุติคือมันเป็นตุ๊กตา มันไม่มีเหรอ.. มันมี ! แต่ถ้าใจเรามั่นคงจริง เราทำของเราได้จริงเห็นไหม ศาสนาสำคัญตรงนี้ วัตถุมันยังเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งเป็นอนิจจัง ดูสิ ค่าของเงิน กระดาษนะ แผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งแย่งกัน กระดาษทั้งนั้น !ไปตื่นกระดาษ ไปตื่นโลกไงเห็นไหม

เวลาผู้ปฏิบัติแล้วไม่ตื่นโลก น้ำอยู่บนใบบัว ไม่ตื่นโลกแต่อยู่กับโลก แต่เข้าใจโลกนะ พอเข้าใจโลกอยู่กับโลกเขา มันเป็นสภาวะอย่างนี้ ถ้าสภาวะอย่างนี้มันจะย้อนกลับมาดูเรา

ถ้าดูเรา สสารที่เป็นวัตถุมันเป็นอนิจจัง สสารที่มีชีวิต ธาตุรู้ที่มีชีวิต แล้วเราทำอย่างไรให้พ้นจากสิ่งที่ครอบงำมัน สิ่งที่ครอบงำมันคืออะไร คืออวิชชา คือมันไม่รู้ตัวมันเองนะ เราย้อนกลับมาโดยปรมัตถธรรมนะ แล้วถามตัวเราเองว่าเราอยู่ไหน.. ถามตัวเองว่าตัวเองอยู่ไหน.. ชี้ไปเถอะ เราอยู่ไหน.. ไม่มีหรอก ! นายนาคเสนตอบพระมิลินท์เห็นไหม

รถนี้คืออะไร อะไรคือรถ ชี้ไปสิ เป็นเพลา เป็นล้อ มันประกอบขึ้นมาเรียกว่ารถ ชี้ไปที่ตัวเราสิ อะไรคือตัวเรา แขน ขา ตับ.. ทุกอย่างมันเป็นเราไหม.. มันไม่เป็นหรอก ! แต่ประกอบขึ้นมาแล้วถึงเป็นคน สิ่งที่เป็นคนเห็นไหม ชีวิตนี้คืออะไร ย้อนกลับไปสิ ชีวิตนี้คืออะไร เราเกิดมาเพื่ออะไร

ศาสนามันจะย้อนกลับมาถึงตัวเรา ความคิดก็เป็นความสมมุติอันหนึ่ง เวลาเรามองวัตถุว่าเป็นสมมุติ เป็นอนิจจัง สิ่งต่างๆ มันแปรสภาพ เราก็เข้าใจได้

ดูธรรมะเห็นไหม โยมมองไปข้างนอกสิ เห็นเขาทุกข์เขาร้อนกัน ทุกข์ทำไม ร้อนทำไม ไปทุกข์ยากทำไมมันเป็นของธรรมดา เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ถ้าวันใดกระทบถึงเรานะ คนข้างเคียงเราเจ็บปวดเราจะเจ็บปวดไปด้วย แล้วถ้าเราเจ็บปวดเรายิ่งเจ็บปวดมากกว่าเขาอีก

ย้อนกลับมาถ้ามันเป็นความจริงเห็นไหม มรรคญาณมันแก้ที่นี่ มันไม่ได้แก้สิ่งข้างนอก มันถึงว่าไม่ให้ดูใจคนอื่นไง ให้ดูใจเรา ถ้าดูใจเราเห็นไหม ถ้าดูใจเรา.. ใจเราอยู่ที่ไหน สิ่งต่างๆ อยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าสอนที่นี่ไง

“ชนะสงครามคูณด้วยล้าน ... ไม่เท่ากับชนะตนเองคนหนึ่ง”

ชนะใจเรานี่ แล้วจะไปชนะที่ไหน สงครามเขาจะมีกองทัพ เขายังมียุทธวิธีของเขาในการต่อสู้กัน แล้วเราจะต่อสู้กับตนเองจะเอาอะไรไปต่อสู้ มันไม่ต่อสู้หรอก มันมีแต่ส่งออก

เราแน่ เราดี เราเด่นไปหมดเลย ทุกคนไม่ดี เราดีคนเดียว แล้วเราดีคนเดียวดีจริงหรือเปล่า.. ดีจริงสงสัยไหม.. ดีจริงเอาตัวรอดได้ไหม.. ดีจริงในหัวใจรู้เรื่องอะไรบ้าง.. ไม่รู้อะไรเลย ! แต่รู้เรื่องคนอื่นนะ วิทยาศาสตร์รู้กันไปหมด ทุกอย่างรู้ไปหมดเลยแต่ตัวเองไม่รู้จัก

แต่ถ้าเราตั้งสัจจะ เชื่อนี่เป็นมนุษย์สมบัติ มนุษย์สมบัติคืออะไร.. คือกายกับใจ กายของเรา หัวใจของเราอยู่ในใต้ผิวหนังเรานี่ แล้วทำไมเราไม่รู้จักมัน แต่เรื่องคนอื่นเราทำไมไปรู้จักมันหมด สิ่งที่อยู่ใต้ผิวหนังเราไม่รู้จักอะไรเลย อยู่ใต้ผิวหนังเรานี่ ใต้ผิวหนังนะ เพราะจิตความรู้สึกมันแผ่ซ่านมาทั่วกาย แล้วเราเอาจริงๆ ขึ้นมาว่า “ใจอยู่ไหน” จับแขนก็รู้สึกว่าแขน จับไปที่ไหนรู้สึกไปหมดเลย แล้วใจอยู่ไหน

เห็นไหมต้องตั้งสติ ทำสมาธิเข้ามา ถ้าทำสมาธิเข้ามา มันเป็นความจริงทั้งหมด แต่จิตแรกเราไปตื่นกันก่อน ธรรมะเห็นไหม ปรมัตถธรรม นั่นก็ไม่ใช่เรา ทุกข์ก็ไม่ใช่เรา มันพูดแต่ปาก แต่หัวใจมันว้าเหว่ หัวใจมันทุกข์มาก แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงนะ เรารู้ของเราเองนะ กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจ เพราะอะไร เพราะมันเป็นสัจจะความจริงเห็นไหม

พระอรหันต์กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าความรู้ต้องเสมอกัน เสมอกันเพราะอะไร เพราะมันตัดความสงสัยหมดเลย แล้วเราสงสัยไหม ทุกคนสงสัย ! ทุกคนมีเรื่องในหัวใจสงสัยกันทั้งนั้น สงสัยไปหมดเลย ยิ่งศึกษามากยิ่งสงสัยมาก ดูนักวิทยาศาสตร์สิ ทฤษฎีมันชี้บอกไว้เลยนะ แต่ถ้ายังมีการทดสอบมันก็สงสัยกันอยู่นะ แล้วมันไม่มีงบประมาณ ทำอะไรไม่ได้ แต่เป็นทฤษฎีก็เชื่อตามกันไป

นี่ก็เหมือนกัน เหมือนเราศึกษาธรรมะเราสงสัยไหม ทั้งๆ ที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก พวกเรานี่ลงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก คือเชื่อ ! เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือลงใจ ลงใจถึงมีการกระทำ ถ้าไม่ลงใจมันต่อต้าน มันต่อต้าน มันหาเหตุผลมาคัดค้าน เป็นไปไม่ได้ ! เป็นไปไม่ได้ !

แต่ถ้ามันลงใจนะ.. มันลงใจนะ.. ทดสอบก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ไม่ให้เชื่อแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ไม่ให้เชื่อตำรา ไม่ให้เชื่อแม้แต่มันเข้ากันได้ ไม่ให้เชื่อคนอื่นที่ประสบความสำเร็จ.. ไม่ให้เชื่อหมดเลย เพราะเป็นความสำเร็จของเขาไม่ใช่ความสำเร็จของเรา”

เราไม่เชื่อปั๊บนี่ เราไม่เชื่อต่างๆ เราทดสอบ ทดสอบอันนี้เห็นไหม นี่ภาคปฏิบัติ ! แล้วทดสอบขึ้นมา ตั้งใจขึ้นมา ตั้งสติขึ้นมา

เรามากันทำไม เรามาตั้งระยะทางกี่ร้อยกิโลเมตร เรามาทำบุญกัน แล้วบุญอันนี้เห็นไหม ทำบุญร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำจิตสงบหนหนึ่ง ทำจิตสงบแล้วนะ ถ้าไม่เกิดมรรคญาณไม่เกิดปัญญาขึ้นมาเห็นไหม

ปัญญาอันนี้ไม่ใช่โลกียปัญญาที่เขาคิดกัน ที่ศึกษาธรรมะกันมันเป็นสัญญา พอเป็นสัญญาแล้วไปตู่.. ตู่ว่ารู้.. ตู่ว่าเข้าใจ.. แล้วจิตมันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ ! พอเข้าใจมันก็ว่าง มันก็มีความสุขใจ มันจะว่างของมันนะ ความว่างอย่างนี้นะมันเป็นโลกียปัญญา โลกียะ ฌานโลกีย์ มันเป็นโลกีย์ เป็นโลก

โลกคืออะไร.. โลกคือเกิดจากเรา เกิดจากฐานของจิต

โลกคืออะไร.. โลกคือหมู่สัตว์

หมู่สัตว์คือใคร.. หมู่สัตว์คือเรา โลกนี้คือเรานะ

โลกนี้.. ดูจักรวาลรู้ไปหมด ดาวเคราะห์ ดาวต่างๆ รู้ไปหมด ใครเป็นคนรู้.. เราเป็นคนรู้

โลกนี้ สรรพสิ่งนี้มีเพราะมีเรา ! มีเพราะมีความรู้สึกอันนี้ แล้วความรู้สึกอันนี้ ถ้าเราเข้าไปถึงตัวมัน เพราะมีเราต้องทำลายตัวนี้ไง ให้ทำลายทิฐิมานะตัวนี้ ไม่ใช่ไปทำลายข้างนอก ไม่ใช่ไม่ทำแต่สิ่งใดๆ เลย

แล้วศึกษามันส่งออก มันไปรู้เห็นไหม พอไปรู้ข้างนอก พอรู้แล้วมันได้อะไร รู้แล้วสงสัยไหม เพราะรู้ด้วยสัญญา ไม่ใช่รู้ด้วยความจริง ถ้ารู้ด้วยความจริงเห็นไหม มันถึงว่าถ้ารู้ความจริงขึ้นมา ถึงต้องยอมรับความจริงด้วยว่า โดยสามัญสำนึกพวกเรามีอวิชชา มีความลังเลสงสัย

ในเมื่อเราอยากทำคุณงามความดี ที่มาอยู่นี่มาเพราะศรัทธา ความอยากพามา แล้วพอมีความอยาก.. อยากจะทำความดี ถ้าเราอยากทำความดีมันจะผิดไปไหน เขาบอกว่า “อยากไม่ได้ อยากเป็นความผิด”

อยากดีเป็นมรรค ! อยากก่อร่างสร้างตัวเป็นความดี...

อยากทำลายเขา อยากเอาเปรียบเขา อยากกลั่นแกล้งเขา อยากเอารัดเอาเปรียบนั่นเป็นกิเลส...

ถ้าอยากทำคุณงามความดี เพราะทำคุณงามความดีมันจะค้นหาตัวเราไง สัจธรรม เป็นอย่างนี้ มันถึงมีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ในเมื่อมีปริยัติ มีการศึกษาแล้วมันต้องมีภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติคือภาคทดสอบ แล้วภาคทดสอบนี่ หัวใจของเราเป็นห้องวิทยาศาสตร์ที่เราจะทดสอบตัวเราเอง “อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ถ้าเราไม่มีห้องวิทยาศาสตร์ เราไม่มีที่ทดสอบ นักวิทยาศาสตร์จะไปทดสอบกันที่ไหน

นี่ก็เหมือนกัน เรามาอยู่ในกุฏิ อยู่ที่ไหน เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ใต้ผิวหนังเรา ใต้ผิวหนังเรานี่ ความรู้สึกใต้ผิวหนังนี่ รู้มันให้ได้ ถ้ารู้ไม่ได้ พอมันรู้ได้ คำว่า “รู้” รู้คือไม่สงสัย ไม่สงสัยในสมาธิ ไม่สงสัยในปัญญา ไม่สงสัยในสิ่งใดเลย เพราะปัญญามันเข้าไปรื้อค้น สัจธรรมอันนี้มันเข้าไปแสวงหา

สิ่งที่การกระทำ ภาคปฏิบัติ แล้วพอรู้จริงขึ้นมา พระสารีบุตรไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ยืนยันกันว่าถ้ารู้จริงแล้วต่างอันต่างจริง แต่ขณะที่ไม่รู้จริงต้องเชื่อ ! คำว่าเชื่อนะ.. ถ้าไม่เชื่อเลย เวลาเราไปหาหมอ เราว่าหมอกับเราเป็นมนุษย์เหมือนกันไหม หมอกับเรา เราเรียนสูงกว่าด้วย หมอเรียนจบมาแล้ว เราเรียนดอกเตอร์หรือเป็นศาสตราจารย์ ความรู้เราสูงกว่าด้วย

แต่ในเมื่อเรารู้แล้ว เรารู้เรื่องสรีระร่างกายของเราไหม เรารู้เรื่องวิธีการรักษาไหม เราก็ต้องไปหาหมอให้หมอรักษาเราใช่ไหม เจ็บไข้ได้ป่วยถึงจะมีความรู้ขนาดไหนก็ไปหาหมอ เวลาหมอมันป่วย ! หมอมันป่วย.. หมอก็ไปหาหมอ นี่ก็เหมือนกัน เวลาครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนเรา วุฒิภาวะเขาน้อยกว่าเรา เขาไปเจออาจารย์ที่สูงกว่า เขาก็ต้องไปหาอาจารย์ที่สูงกว่าแก้เขา !

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราจะประพฤติปฏิบัติ เราต้องให้ครูบาอาจารย์แก้ ถ้าแก้แล้วมันก็ธรรมดา ธรรมดาหมายถึงว่ามันก็ยัง เอ๊ะ.. เอ๊ะ.. อยู่ เอ๊ะอยู่มันก็ยังมีโค้ช นักกีฬามีโค้ช มีคนบอกว่า “เล่นผิดนะ.. ทำผิดอย่างนั้นนะ” ดีกว่าว่าเราผิดแล้วเราว่าเราถูก นักกีฬาคนไหนที่เข้าไปแข่งขัน ไม่มีใครบอกว่าเราผิดเลย จะบอกว่าเราถูกหมด แต่โค้ชที่นั่งดู เขาเห็นว่ามีความผิดพลาดอย่างไร ควรแก้ไขอย่างไร ถ้าเขาบอกเราแล้ว ถ้าเราดัดแปลง เราแก้ไข แล้วเราทำตามนั้น เราชนะเขามา อันนั้นสัจธรรมเป็นอย่างนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมีครูบาอาจารย์บอก มีครูบาอาจารย์สอน

๑. ไม่ให้มันเนิ่นช้า

๒. ไม่ให้เสียเวลา

๓. อาจารย์รู้จริง

จะทำอย่างไรนะ เราจะตะแบงไปทางไหนก็แล้วแต่ เราจะมีทิฐิมานะขนาดไหนก็แล้วแต่ เราจะเหนื่อยเปล่า แล้วถ้าวันไหนจิตมันลง แล้วธรรมที่ครูบาอาจารย์สอนนะ โอ้โฮ ! โอ้โฮ ! มันจะโอ้โฮ ! ต่อเมื่อเรารู้จริง มันซึ้งใจมาก !

นี่ไงทำไมครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ทำไมพระกรรมฐานถึงติดครูติดอาจารย์ไง เพราะท่านรู้จริง เหมือนกับท่านรู้จริงแล้วเรารู้ปลอม เอ็งทำมาเถอะ ธรรมะปลอมๆ ปลอมวันยังค่ำ ! แต่ถ้ามึงลงใจเมื่อไร แล้วมึงทำตามความเป็นจริงนะ มันรู้จริง

นี่ไง ถึงว่าเวลากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบด้วยหัวใจนะ สัจธรรมเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นเราต้องยอมรับความจริง อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง ในเมื่อทุกข์ก็ทุกข์จริงๆ ร่างกายของเราจริงๆ เราเกิดมาด้วยบุญกุศล เกิดจากพ่อจากแม่ ได้ร่างกายนี้มา หัวใจเป็นหัวใจของเรา ปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา แล้วมาเกิดในร่างกาย เกิดในครรภ์ของแม่ แล้วเกิดมาเป็นเรา เป็นความจริง !

ในเมื่อความจริงแล้ว เราก็เอาความจริงมาทำเป็นความจริง ทำให้เป็นสมาธิจริงๆ ทำให้เป็นปัญญาจริงๆ สร้างบุญกุศลก็สร้างจริงๆ ทำบุญเห็นไหม มาด้วยหัวใจ มาด้วยศรัทธา มาด้วยความชุ่มชื่น บุญมหาศาลเลย

มาแกนๆ มาสักแต่ว่า เราทำไม่จริงเห็นไหม พอมันไม่จริงมันก็สักแต่ว่า ห้าสิบห้าสิบ ได้ไหม..ได้ ! ในเมื่อเสร็จต้องได้ แต่มันไม่คุ้มค่าการลงทุนไง ไม่คุ้มค่าที่เรามา เราต้องให้คุ้มค่า เราตั้งใจของเรา

ถ้าทำจริงนะมันจริงไปทุกอย่างเลย กิริยาก็จริง ธรรมก็จริง แล้วรู้สัจธรรมก็สัจธรรมจริงๆ ไม่ใช่ธรรมะปลอมๆ นะ โอกาสของเรามาแล้ว โอกาสของเราคือหัวใจมันเปิด ถ้าคนหมดโอกาสแล้วไม่เปิด ถ้าคนมันหลับหัวใจมันหลับใหล มันไม่เชื่อ มันเชื่อตัวมันเอง มันว่ามันแน่ มันยอด มันเยี่ยม มันเก่งไปหมดเลย กิเลสเวลามันขี่หัวนะ นั่นน่ะหัวใจมันหลับใหลเพราะกิเลสมันเหยียบไว้

แต่ถ้าเรามีศรัทธา เราเปิด เราตื่นนะ หัวใจเราตื่นมีโอกาสขึ้นมา เราต้องตั้งใจของเรานะ เป็นประโยชน์กับเรา ที่พูดนี่เป็นประโยชน์กับคนฟังนะ ! ถ้าคนฟังเอานี่มาคิด มันจะเห็นคุณค่าของชีวิต เห็นคุณค่าของลมหายใจเข้าและลมหายใจออก

ครูบาอาจารย์ท่านว่านะ “หายใจเข้าและหายใจออกทิ้งเปล่าๆ” หายใจเข้าก็มีสติ หายใจออกก็มีสติ ชีวิตนี้ก็มีสติ สติเราไม่ทำอะไรผิดพลาดเห็นไหม ชีวิตเราไม่มีผิดเลย แต่ถ้าเราเผลอ เราทำไปนะ นี่คุณค่ามันอยู่ที่นี่ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานเห็นไหม

“ภิกษุทั้งหลาย ! เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

ความประมาทเลินเล่อ พระพุทธเจ้าสั่งไว้ ขอเป็นข้อสุดท้าย ใช้ชีวิตอย่ามีความประมาท ให้มีสติกับชีวิต ให้มีสติกับการกระทำ มีสติทุกอย่างสมบูรณ์ดีไปหมดเลย เพราะสติสมบูรณ์ เอวัง